ฟาร์มโทมิตะ (Tomita farm) ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ที่เริ่มบานสะพรั่งรอคอยการมาเยือนของนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะทุ่งดอกลาเวนเดอร์ที่ เมืองฟุระโนะ (Furano) ที่ไม่ว่าใครที่ได้ไปเห็นก็เป็นต้องประทับใจกับความงดงาม
เมืองเล็กๆที่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวทั้งช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว อยู่ระหว่างบิเอะกับฟุราโนะทางตะวันออกเฉียงเหนือตัวเมืองฟุราโนะราว 10 กิโลเมตร ห่างจากสถานีนะคะฟุราโนะ (Naka Furano) ขึ้นไปราว 2 กิโลเมตร แต่ถ้าไปเที่ยวฤดูร้อนช่วงที่ลาเวนเดอร์กำลังบาน จะมีสถานีเฉพาะกิจ Lavender Batake อยู่ห่างจากฟาร์มเพียง 500 เมตร แต่รถไฟก็จอดเฉพาะขบวน Norokko เท่านั้น
ผู้บุกเบิกฟาร์มโทมิตะเป็นคนแรกคือ โทคุมะ โทมิตะ (Tokuma Tomita) เมื่อปี ค.ศ.1903 ซึ่งก็เพาะปลูกพืชหลายชนิดที่ชาวไร่นิยมปลูกกัน จนเมื่อปี ค.ศ.1958 เขาจึงเริ่มปลูกต้นลาเวนเดอร์ เนื่องจากทราบมาว่าต้นไม้ชนิดนี้ใช้ทำน้ำหอมได้ แล้วก็ทำเป็นอุตสาหกรรมเล็กๆ ขายภายในท้องถิ่น จนกระทั่งเมื่อปี 1984 น้ำหอมยี่ห้อ "Furano"
จึงถือกำเนิดขึ้นและวางขายไปทั่วญี่ปุ่นพร้อมๆกับผลิตภัณฑ์จากดอกลาเวนเดอร์อีกหลายชนิด ที่คิดจะสรรหาทำขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็น สบู่ ลิปมัน ครีมอาบน้ำ โลชั่น ลูกอม น้ำช่า(มะเนด) ไอศกรีม พัด พวงกุญแจ กรอบรูป กระเป๋า เสื้อยืด ผ้าเช็ดหน้า โดยทุกสิ่งอย่างจะต้องมีส่วนผสมของลาเวนเดอร์ให้มีกลิ่นหอมนิดๆ แม้กระทั่งดอกไม้แห้ง หรือ ดอกลาเวนเดอร์สดๆ จากต้นก็นำมาขาย ให้ซื้อหาไปฝากเพื่อนๆ หรือครอบครัวได้
ดอกลาเวนเดอร์นั้นไม่ใช่แค่มีกลิ่นหอมแต่ยังเป็น "กลิ่นบำบัด" (Aromatherapy) ที่ช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย จิตใจสงบอีกด้วย นักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมไปเที่ยวในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือนกันยายน เพื่อชมความงามและถ่ายรูป ส่วนหน้าหนาวนั้นฟุระโน จะมีชื่อเสียงในเรื่องของ ลานสกี ที่ท้าทาย นักท่องเที่ยวนิยมมาช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคม เพื่อเล่นสกีกัน
ปัจจุบันฟาร์มโทมิตะ ไม่ได้ปลูกเฉพาะต้นลาเวนเดอร์อย่างเดียว ยังมีดอกไม้ชนิดอื่นๆปลูกเต็มไปหมดทุกพื้นที่ของฟาร์ม แบ่งออกเป็นแปลงๆ ได้ 6 ส่วนคือ
- Hanabito Field แปลงไม้ดอกหลายชนิดสีสันจัดจ้าน ตั้งใจปลูกให้สลับสีกันอยู่ตรงประตูทางเข้า อาทิ ดอกป็อปปี้หลากพันธุ์ต่างสี ดอกหญ้าโทตเฟล็กซ์ (Toadilax) ดอกรัสเซลลูปิน (Russell Lupines) ซึ่งจะเบ่งบานสวยงามเต็มที่ในเดือนกรกฎาคม
- Sakiwai Field ปลูกต้นลาเวนเดอร์สายพันธุ์ต่างกัน 4 ชนิด คือ Okamurasaki,Yotei,Hanamoiwa และ The dark purple Noushihayazaki ทั้งแปลงจึงเต็มไปด้วยสีม่วงของดอกลาเวนเดอร์ซึ่งจะบานสะพรั่งเต็มที่ ระหว่างปลายเดือนมิถุนายน-ต้นเดือนสิงหาคม
- Spring Field ปลูกต้นป็อปปี้หลายพันธุ์ เช่น ไอซ์แลนด์ป๊อปปี้ โอเรียลเต็ลป็อปปี้ กุหลาบและต้นสมุนไพร Chive ซึ่งจะเบ่งบานเต็มที่ปลายเดือนพฤษภาคม-กลางเดือนมิถุนายน
- Autumn Field ปลูกต้นคอสมอส Sage และ. คลิโอเมะ (Cleome) ซึ่งจะบานตั้งแต่สิงหาคม-ต้นตุลาคม
- Traditional Lavender Garden แปลงปลูกลาเวนเดอร์สายพันธุ์ดั้งเดิมของฟาร์มโทมิตะทั้งเนินเขาจึงเต็มไปด้วยสีม่วงช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
- Irodori Field แปลงดอกไม้สีสายรุ้งที่เราคุ้นตากัน ปลูกดอกไม้สารพัดชนิดที่มีดอกสีสดแบบจงใจให้ตัดสึกัน บานให้เห็นเต็มที่ในเดือนกรกฎาคม
นอกจากนั้นที่สวน Lavender East ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 4 กิโลเมตร ตรงนั้นเป็นแปลงใหญ่ปลูกลาเวนเดอร์อย่างเดียว เพื่อนำมาทำผลิตภัณฑ์น้ำหอมขายโดยเฉพาะ
นอกจากแปลงดอกไม้ที่มีให้ชมอย่างเต็มอิ่มถึง 6 แปลงแล้ว ภายในฟาร์มโทมิตะยังมีบ้านหรือาคารต่างๆ ให้เข้าไปชมได้อีกหลายหลัง ที่น่าสนใจอาทิ
- Hanabito House ถือเป็นประตูบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นบนจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ (Tomita Lavender Museum) มีภาพถ่ายแสดงประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งฟาร์ม ส่วนชั้นล่างเป็นร้านขายของที่ระลึกที่มีให้เลือกอย่างจุใจ รวมทั้งร้านกาแฟ ร้านขายเครื่องดื่ม
- Dried Flower House เป็นบ้านที่จัดแสดงดอกไม้แห้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นในชื่อ "Picnic in Hokkaido" ตามแนวคิดของ Mr. Len Alkemadeนักจัดดอกไม้ชาวฮอลแลนด์ที่นำเสนอแนวความคิด "ชีวิตกับดอกไม้"
- Distillery Workshop โรงงานสกัดน้ำมันจากดอกลาเวนเดอร์ เพื่อนำไปทำเป็นน้ำหอมในขั้นตอนต่อไปที่บ้าน Perfume Workshop เข้าไปในบ้านหลังนี้จึงรู้สึกหอมสดชื่นชวนดม
- Perfume Workshop เป็นบ้านที่สาธิตการทำน้ำหอมจากลาเวนเดอร์ให้เราได้ชมอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน มีน้ำหอมให้ได้เลือกซื้อหลายแบบ
- Potpourri House เป็นบ้านที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ประกอบด้วยร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารขายข้าวแกงกะหรี่ ร้านขายไอศกรีม มีม้านั่งให้ชมวิวทิวเขาโทคาชิ (Tokachi Mountain Range) ได้อย่างสวยสดงดงาม
- Flower House มีร้านขายของที่ระลึกจากพาร์มตั้งเรียงราย แต่ที่น่าลองก็คือไอศกรีมกลิ่นลาเวนเดอร์รสนุ่ม หอมหวานมันอร่อย และแตงเมล่อนที่แบ่งขายชิ้นละ 250 เยน เพราะถ้าซื้อทั้งลูกราคา 2,000-3,000 เยน รสชาตินั้นคุ้มราคาทั้งหวานหอมนุ่มลิ้น
- Green House เป็นบ้านเรือนกระจกควบคุมอุณหภูมิ มีลาเวนเดอร์ให้ชมตลอดทั้งปี แต่มาหน้าร้อนแบบนี้เรือนกระจกเปิดโล่งรับสภาพอากาศตามธรรมชาติ ซึ่งช่วงนี้ลาเวนเดอร์เจริญเติบโตได้ดีอยู่แล้ว
นอกจากนั้นก็มี Forest House, Poppy House เข้าไปดูเพลินๆ สลับกับแปลงดอกไม้สวยๆ ที่มีอยู่เต็มพื้นที่ฟาร์มโทมิตะอันกว้างใหญ่ ทั้งหมดนี้เจ้าของฟาร์มใจดีเปิดให้เข้าชมฟรี เพียงแต่ขอให้ช่วยกันดูแลแปลงดอกไม้ให้ผู้มาทีหลังได้ชื่นชม หรือไม่ก็อุดหนุนผลิตภัณฑ์จากฟาร์มกลับไปสักหน่อยก็จะเป็นการดี ฟาร์มโทมิตะแห่งนี้ถือว่าเป็นสวนดอกไม้ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดบนเกาะฮอกไกโด