ทัชมาฮาล พระราชวังรูปมงกุฏ หากจะแปลตามตัวอักษร (Taj Mahal) ความจริงคือ สุสานแห่งความรักที่สร้างจากหินอ่อน เป็นงานสถาปัตยกรรมที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมกุล ผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ (Mumtaz Mahal เจ้าหญิงชาวเปอร์เซีย)
เจ้าชายขุร์รัม ชึ่งต่อมาคือสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน พระราชสมภพในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ. 1592) พระบิดา คือ สมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ จักรพรรดิองค์ที่สี่แห่งราชวงศ์โมกุล ตามตำนานกล่าวว่า พระองค์ได้พบกับอรชุมันท์ พานุ เพคุม ธิดาของรัฐมนตรี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 14 พรรษา พระองค์ทรงหลงใหลและหลงรักนาง เจ้าชายขุร์รัมจึงซื้อเพชรด้วยเงิน 10,000 รูปีและบอกแก่พระบิดาของพระองค์ว่าพระองค์มีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับบุตรีของรัฐมนตรี พิธีเสกสมรสถูกจัดขึ้นหลังจากนั้น 5 ปี เมื่อพ.ศ. 2155 (ค.ศ. 1612) จากนั้นมาทั้งสองก็มิเคยอยู่ห่างกันอีกเลย
หลังจากที่สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน ขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2171 พระองค์มอบความไว้วางใจแก่ อรชุมันท์ พานุ เพคุม และเรียกนางว่า มุมตัซ มาฮาล "อัญมณีแห่งราชวัง" พระมเหสีติดตามพระองค์
แม้แต่ในสนามรบ แนะนำพระองค์ในเรื่องราชการของประเทศ และพระองค์ซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระมเหสียิ่งนัก ครั้นในปี พ.ศ. 2174 (ค.ศ. 1631) พระมเหสีมุมตัซสิ้นพระชนม์ หลังจากให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 การสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีทำให้สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันโศกเศร้าอยู่ถึงสองทศวรรษ ราชสมบัติส่วนใหญ่สูญเสียไปเพื่อการสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของทั้งสองพระองค์
พระองค์ถูกกักบริเวณ โดยลูกชายแท้ๆของพระองค์เอง ด้วยเห็นว่า พระราชบิดาทรงใช้ทรัพย์จากท้องพระคลังเป็นจำนวนมากกับการก่อสร้างไม่เพียงแต่ ทัชมาฮาล แต่ยังทรงมีแผนที่จะสร้าง ทัชมาฮาล(หินอ่อนสีดำ)อีก 1 แห่งเพื่อองค์(พระราชบิดา)เองอีก จึงทำการกังขังบริเวณอยู่ถึง 8 ปี จนกระทั่งสวรรคตในปี พ.ศ. 2209 (ค.ศ. 1666)
ตามตำนานกล่าวว่าให้วันสุดท้ายของชีวิตพระองค์ใช้เวลาทั้งวันในการจ้องมองเศษกระจกที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล และสิ้นพระชนม์ด้วยเศษกระจกในกำมือ พระองค์ถูกฝังในทัชมาฮาล เคียงข้างพระมเหสีซึ่งพระองค์ไม่เคยลืม
ทัชมาฮาล ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของมรดกโลกในปี 1983 และถือว่า "อัญมณีแห่งศิลปะมุสลิมในอินเดีย" แสดงถึงความมั่งคังของประเทศอินเดียในอดีต มีนักท่องเที่ยวมาเยือนทัชมาฮาล 7-8 ล้านคนในแต่ละปี และถูกค้ดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ในปี ค.คศ 2007