ความเป็นมาของวัดหงษ์ทอง
ย้อนอดีตให้ฟังถึงความเป็นมาที่สิ่งปลูกสร้างสำคัญของวัดล้วนปลูกสร้างอยู่ "ในทะเล" จนถือเป็น "UNSEEN ของแปดริ้ว" ว่า เมื่อถึงวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา ชาวบ้านหงษ์ทองต้องเดินลุยโคลนสูงท่วมเข่า ลุยป่าชายเลนไปทำบุญที่วัด ซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร เมื่อ พ.ศ. 2510 หลวงปู่ปานวัดคลองด่าน ได้เริ่มตั้งสำนักสงฆ์ขึ้น ณ ที่ตั้งวัดปัจจุบันนี้ โดย กำนันสนใจ ภิญโญ บอกยกที่ดินให้วัดด้วยปากเปล่า เพื่อชาวบ้านจะได้ประกอบศาสนกิจได้สะดวกขึ้น
ต่อมา มีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมารวบรวมซื้อที่ดินละแวกคลองหงษ์ทองและคลองขุดจากชาวบ้าน ที่ดินตรงนี้ถูกขายไป จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2522 นายปราชญ์ ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านขณะนั้นพระอาจารย์โพธิ์ วรธรรมโม (แก้วขาว)เป็นหัวหน้าสำนักสงฆ์ ผู้ใหญ่ปราชญ์ ศรนิล ได้เป็นกำลังสำคัญทำหน้าที่เป็นตัวแทนของชาวบ้านและสำนักสงฆ์ไปเจรจาขอซื้อที่ดินบริเวณที่ตั้งสำนักสงฆ์ 21 ไร่ 2 งาน จากบริษัทเอกชนรายดังกล่าว
จนบริษัทยอมขายให้ในราคา 120,000 บาท โดยขอเวลาผ่อนชำระ 3 ปี ซึ่งกว่าจะชำระเงินได้ครบถ้วน ผู้ใหญ่ปราชญ์ ต้องวิ่งเต้นประสานงาน และประสานความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านเป็นอย่างมาก ในช่วงปี 2522 - 2527 นี่เอง ที่ได้พัฒนาสำนักสงฆ์จนเป็นวัดแต่แรกจะตั้งชื่อว่าวัดพระปฐมหลวงปู่ปานอุปถัมภ์ แต่ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแนะนำให้ใช้ชื่อ "หงษ์ทอง" ตามชื่อคลอง "คลองวัดหงษ์ทอง" จึงเป็นวัดโดยสมบูรณ์นับจากนั้นมา โดยกล่าวได้ว่า ผู้ใหญ่ปราชญ์ ศรนิล เป็นฆราวาสคนสำคัญในการฝ่าฟันอุปสรรค บุกเบิกสร้างวัดนี้มากับมือ
ในปีพ.ศ.2526 ขณะที่ผู้ใหญ่ปราชญ์ ศรนิล อายุได้ 57 ปี ได้ตัดสินใจอุปสมบท จากนั้นก็กราบลาเจ้าอาวาสออกธุดงค์เป็นเวลา 6 ปี เมื่อเจ้าอาวาสมรณภาพ ชาวบ้านได้นิมนต์ให้ท่านกลับมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสนับแต่นั้นมา ปัจจุบันท่านมีสมณศักดิ์เป็น พระครูปรีชาประภากร พระอธิการปราชญ์ ปภากโร
บูรณะพัฒนาวัดหงษ์ทอง - ศาสนสถานในทะเล
เมื่อมารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านพบว่าที่ดินของวัดถูกน้ำทะเลกัดเซาะ จาก 21 ไร่เศษ เหลือเพียง 8 ไร่ จึงเร่งบูรณะพัฒนาวัดทั้งด้านสถานที่และระเบียบวินัย เริ่มจากการทำเขื่อนยุติปัญหาน้ำเซาะที่ดินซึ่งในระยะแรกท่านต้องลงแรงทำด้วยตัวเอง ปรับปรุงทางคมนาคมเข้าวัดและหมู่บ้านให้มีความสะดวก ด้านกฎระเบียบท่านห้ามจัดมหรสพ ห้ามเล่นการพนัน เสพของมึนเมา ภายในบริเวณวัด เคร่งครัดในการปกครองสงฆ์ห้ามออกเรี่ยไรชาวบ้าน
หลังจากนั้นท่านได้ก่อสร้างถาวรวัตถุของวัดในอาณาบริเวณเดิมซึ่งที่ดินถูกกัดเซาะลงทะเลไป สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้จึงเสมือนปลูกสร้างอยู่ในทะเล ทว่าล้วนตั้งอยู่ในพิกัดโฉนดที่ดินของวัดทั้งสิ้นสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ประกอบด้วย
ศูนย์พัฒนาจิต ศาลาปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ศรนิลอนุสรณ์
สร้างเมื่อปี 2527 - 2541 กว้าง 18 วา ยาว 30 วา ซึ่งปัจจัยทั้งหมดได้มาจากการบริจาคด้วยความศรัทธาของผู้ใจบุญซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนร่วมสร้างถวายเป็นพระราชกุศล เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีกาญจนภิเษก ฉลองศิริราชสมบัติครบ 50 ปี
พระธาตุคงคามหาเจดีย์ ปรีชาประภากร ปราชญ์ ศรนิล อนุสรณ์
สร้างขึ้นในปี 2542 พระธาตุคงคามหาเจดีย์ ฯ มีด้วยกัน 3 ชั้น แต่ละชั้นจะมีภาพวาดฝาผนังแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาพุสนา เช่นภาพพุทธประวัติภาพพระโพธิสัตว์ปางอวตารต่างๆ ภาพวาดพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่ป็นที่เคารพสักการะ ที่สำคัญที่สุดคือบนชั้นสามของพระธาตุฯ เป็นที่บรรจุพระธาตุพระอรหันต์ในทะเลแห่งแรกของโลกทางขวาของพระธาตุเป็นสิ่งก่อสร้างล่าสุดของวัดคือ พระอุโบสถ ซึ่งก่อสร้างในปี 2548 แล้วเสร็จปี 2550 ภายในมีภาพเขียนจิตกรรมฝาผนังแสดงเรื่องราวพุทธประวัติอย่างสวยงาม
ด้านหลังของพระธาตุคงคามหาเจดีย์ มีเรือรบจำลอง และรูปหล่อพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เด่นเป็นสง่าหันหน้าออกปากอ่าว สิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนสร้างอยู่กลางทะเลทั้งสิ้น โดยสามารถเดินจากเขื่อนของวัดมาตามสะพานคอตกรีตที่ทอดยาวไปในทะเล ก็จะผ่านศาลา ด้านหลังศาลามีสะพานคอนกรีตยาว ช่วงแรกของสะพานประดับด้วยพญานาค เมื่อเดินไปสุดสะพานจะถึงพระธาตุ และพระอุโบสถ หลังพระธาตุถึงลานประดิษฐานรูปหล่อของกรมหลวงชุมพรฯจะมีสะพานทอดยาวยื่นออกไปในทะเลอีก สามารถเทียบเรือแล้ว ยังใช้เป็นจุดชมทิวทัศน์ท้องทะเลยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้เป็นอย่างดี
เดิมทีวัดหงษ์ทองไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จนเมื่อปี 2541 ศาลากลางน้ำสร้างเสร็จพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวก็เริ่มรู้จักที่นี่ แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมักมาจากถิ่นอื่น ทั้งจาก กรุงเทพ ฯ เหนือ ใต้ อีสาน โดยส่วนเฉพาะชาวประมงจากสมุทรปราการ นิยมมานมัสการพระธาตุกันมาก เนื่องจากเป็นพระธาตุที่สร้างในทะเลชาวประมงมีอาชีพหากินอยู่กับทะเล จึงมากราบไหว้เพื่อความเป็นศิริมงคลและบอกต่อๆ กันไป สำหรับชาวแปดริ้วนั้นยังไม่ค่อยรู้จักวัดนี้มากนัก
โดยเจ้าอาวาสบอกว่า ต้นเดือนเมษายนของทุกปีจะเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนมาบวชเนกขัมมะ(ชีพราหมณ์) ที่วัดปีนี้จัดระหว่างวันที่ 5 - 10 เมษายน รับผู้สนใจทุกเพศทุกวัย 400 คน ผู้สนใจสามารถแสดงความจำนงได้ที่วัด